ข้อสอบ SAT มีสาระสำคัญอย่างไร ต้องทำให้ได้กี่คะแนนถึงสอบติด..



อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่าคะแนนเต็มของข้อสอบ SAT คือ 800 คะแนนต่อวิชา รวมทั้งหมดจึงเท่ากับ 2,400 คะแนน แม้กระนั้นมหาวิทยาลัย “ส่วนใหญ่” มักจะไม่พิจารณาผลในส่วนวิชา Writing ครั้นแล้วคะแนนเต็ม จึงลดลงเหลือ 1,600 คะแนน ซึ่งหากต้องการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับ Top 50 ของสหรัฐอเมริกา มักจะต้องทำคะแนนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 1,100 คะแนนขึ้นไป ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ 5 หลักสูตรที่ต้องการคะแนนสูงในระดับนี้ คือ BBA จุฬาฯ, BBA ธรรมศาสตร์, BE ธรรมศาสตร์ และ BACM (Comm Arts) จุฬาฯ นอกจากนี้บางหลักสูตรอาจต้องการผลคะแนนในวิชา Mathematics เพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น ISE จุฬาฯ (ไม่ต่ำกว่า 600 คะแนน) หรืออาจต้องการผลคะแนนในวิชา Critical Reading เพียงอย่างเดียว เช่น BALAC จุฬาฯ (ไม่ต่ำกว่า 400 คะแนน)

ด้วยเหตุใดหลักสูตรอินเตอร์ในประเทศไทยจึงรับผล SAT กันอย่างแพร่หลาย

มีหลายเหตุผลที่ข้อสอบ SAT เป็นที่แพร่หลายในไทย ตัวอย่างเช่น ข้อสอบ SAT ได้พัฒนามานานกว่า 100 ปีแล้วดูมีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ, การใช้ข้อสอบ SAT ทำให้ไม่ต้องคิดข้อสอบขึ้นมาเอง

ทำให้หลักสูตรอินเตอร์ดู “อินเตอร์” ยิ่งขึ้น (เพราะผลสอบ SAT สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก), ด้วยความสะดวกแก่ผู้สมัคร เพราะหลักสูตรอื่นๆก็มักยอมรับผล SAT กันทั้งนั้น ผู้สมัครจะได้ไม่ต้องไปสอบข้อสอบหลายๆวิชาหากอยากสมัครเรียนหลายๆที่, อาจจะรับผู้สมัครจากต่างชาติได้ เพราะข้อสอบ SAT นั้นสามารถสอบได้ในหลายๆประเทศทั่วโลก

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการ สอบ SAT

ในปี 2014 ข้อสอบ SAT มีคะแนนเฉลี่ยในวิชา Mathematics, Critical Reading และ Writing เท่ากับ 513, 497 และ 487 คะแนน

แม้จะไม่มีสถิติยืนยัน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่านักเรียนไทยส่วนใหญ่ทำคะแนนสอบ Mathematics ได้ดีกว่าวิชาอื่นๆมากกว่า 100 คะแนนขึ้นไปทีเดียว

- การสอบ SAT ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 4 ชั่วโมง

- SAT เป็นข้อสอบที่ผู้สอบต้องคิดให้ไว เวลาเฉลี่ยในการตอบคำถามแต่ละข้อคือ 43-83 วินาทีเท่านั้น

- SAT คือข้อสอบที่ต้องสอบในวันเสาร์ (สมชื่อจริงๆ)

- ในปี 2016 ตั้งแต่เดือน March เป็นต้นไป การสอบ SAT มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

จุดกำเนิดของ SAT :

ในปีค.ศ. 1901 องค์กรที่เรียกว่า College Board ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา สอบ SAT ได้สร้างข้อสอบ SAT ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เหตุผลนั้นก็คือมหาวิทยาลัยต่างๆในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการคัดเลือกนักศึกษาใหม่ในแต่ละปีเพราะเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะการที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มาก มหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียงมักมีนักเรียนยื่นใบสมัครเข้าศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก แถมแต่ละคนก็ดูท่าทางเรียนเก่งกันหมดเพราะ GPA ในระดับมัธยมปลายก็สูงๆกันทั้งนั้น ไม่รู้จะเลือกใครดี (ในความเป็นจริง มาตรฐานการศึกษาในแต่ละรัฐนั้นไม่เท่ากัน การใช้ GPA คัดเลือกนั้น จึงไม่ยุติธรรม) ครั้นจะจัดสอบเพื่อทำการคัดเลือกก็ลำบาก ไหนจะต้องออกข้อสอบเอง อาจารย์ก็บ่นว่าไม่มีเวลาออกข้อสอบ นักเรียนบางคนก็บ่นว่าเดินทางมาสอบลำบากเพราะอยู่คนละรัฐ ครั้นจะทำการสัมภาษณ์ทีละคนก็เสียเวลามาก ข้อสอบ SAT จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยมหาวิทยาลัยต่างๆใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกนักศึกษาใหม่ มหาวิทยาลัยก็ชอบเพราะไม่ต้องจัดสอบเอง นักเรียนก็ชอบเพราะว่าสอบ SAT วิชาเดียวก็นำไปสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยต่างๆได้หลายแห่ง